Calander

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชาเขียว ชาดำ ลดความเสี่ยงความผิดปกติในสมอง

การดื่มชาเขียวหรือชาดำช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติในสมอง







นักวิจัยของมหาวิทยาลัย UCLA ได้พบว่าการดื่มชาอย่างน้อยวันล่ะ 3 แก้ว ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือชาดำธรรมดานั้นมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่มีภาวะความผิดปกติของสมองได้ ถึง 21% และยังพบอีกว่าถ้ายิ่งดื่มมากก็จะทำให้เพิ่มอัตราในการช่วยป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้มากขึ้น


จากข้อมูลที่ได้พบว่าในจำนวนคนกว่า 195,000 คนมีคนเป็นจำนวนถึง 4,378 คนที่ป่วยเป็นโรคที่มีภาวะความผิดปกติทางสมอง หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งในปัจจุบันในทางการแพทย์นั้นถือว่ามีวิธีในการรักษาโรคเกี่ยวกับการมีภาวะความผิดปกติทางสมองน้อยมาก โดยปกติแล้วการเกิดภาวะบกพร่องของระบบประสาทเฉพาะที่อย่างฉับพลันทันใด จะมีสาเหตุมาจากการเกิดมีเลือดออกในสมองหรือการที่สมองขาดเลือด






ปัจจัยที่ทำให้เสียงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองนั้น มีดังต่อไปนี้ ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน มีปริมาณไขมันในเลือดสูง เป็นโรคหัวใจ มีความผิดปกติของหลอดเลือด มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เลือดข้นหรือมีเม็ดเลือดแดงสูง มากไปกว่านั้นก็จะเกี่ยวกับอายุที่สูงวัยขึ้น ดื่มสุรา หรือเกี่ยวกับทางด้านกรรมพันธุ์ ซึ่งภาวะการเกิดโรคหลอดเลือดสมองนั้น ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่จะต้องไปถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้







เนื่องจากการักษาโรคหลอดเลือดสมองนั้นถือว่ามีวิธีในการรักษาที่น้อยมากและถ้าป่วยเป็นโรคนี้แล้วก็มีโอกาสที่จะหายได้ยาก การรับประทานยาเพื่อการรักษานั้นก็ค่อนข้างมีความเสี่ยงว่าจะทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นของโรค จึงเป็นการดีที่จะหาทางป้องกันการเกิดโรคไว้ก่อน โดยทางนักวิจัยได้พบว่าชาจะมีส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามาก ไม่ว่าจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และ EGCG (epigallocatechin gallate) ที่ถือเป็นสารสกัดที่สำคัญในชาเขียวที่สามารถช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆรวมถึงโรคมะเร็งด้วย ที่สำคัญสารตัวนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคร้ายแรงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดหลักที่ใช้ในการหล่อเลี้ยงหัวใจและสมอง มากไปกว่านั้นในใบชายังมีสาร theanine ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อการสูบฉีดของหัวใจทำงานได้ดีนั้นก็จะทำให้การเดินทางของเลือดไปเลี้ยงสมองทำได้ดีเช่นกัน






โดยร่างกายคนเราสามารถดูดซับสาร theanine ไปใช้ประโยชน์ได้เกือบ 100% ลักษณะของสารตัวนี้จะเป็นโมเลกุลที่สามารถเคลื่อนผ่านหลอดเลือดที่มีหน้าที่เลี้ยงสมองได้อย่างดี ทำให้ช่วยลดการเกิดภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ดั้งนั้นการดื่มชาอย่างน้อยวันละ 3 แก้วจะช่วยป้องกันโรคต่างๆมากมาย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับสมอง






ขอขอบคุณ : http://www.vnmirror.com/article03.html



ข้อควรปฎิบัติในการกินเจ

ข้อควรปฎิบัติในการกินเจ







1.) พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสดๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สดๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุง และการบริโภคในแต่ละวันควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้

1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ

2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ

3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน

4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้

5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุโลหะ

ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทยาก เช่น พวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลายหลาก ตลอดปีเราสามารถหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง 5 สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์หลายๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก


2.) เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วแปลกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่งเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว
ถั่วทั้ง 5 สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกะทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวช ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้
ทุกคนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้คบทุกสีจะทำให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น
เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง

ถั่วทั้ง 5 สีที่ให้คุณประโยชน์ต่ออวัยวะหลักภายใน

1. ถั่วแดง (RED BEANS) ให้คุณต่อหัวใจ

2. ถั่วดำ (BLACK BEANS) ให้คุณต่อไต

3. ถั่วเหลือง (SOY BEANS) ให้คุณต่อม้าม

4. ถั่วเขียว (GREEN BEANS) ให้คุณต่อตับ

5. ถั่วขาว (WHITE BEANS) ให้คุณต่อปอด

ธาตุทั้ง 5 สี ถั่วแต่ละสี บำรุงอวัยวะ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ แดง ดำ เหลือง เขียว ขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด



3.) การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้งพร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี


4.) งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อนๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลืองพอเย็นจึงนำมาโขลกหรือ ปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งานที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำใช้ปรุงอาหาร และขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ที่กินเจควรรับประทานงานในปริมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย

5.) ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมากๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้

รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด


6.) หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

7.) เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน
นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประจำ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สุขสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ




ขอบคุณเนื้อหาจาก บ้านฝัน.คอม ; http://www.mthai.com/